วิธีลดค่าไฟในบ้านทำได้ 10 วิธีนี้ ได้ผลดีแน่นอน

การลดค่าไฟในบ้านเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และมีผลดีต่อกระเป๋าสตางค์ของคุณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้น นี่คือ 10 วิธีที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที:

ประหยัดไฟ

  1. ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน:

    แม้จะปิดสวิตช์แล้ว แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังมีกระแสไฟไหลผ่านอยู่ (เรียกว่า Phantom Load หรือ Standby Power) ซึ่งกินไฟทีละน้อยแต่รวมกันแล้วก็มาก การถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังใช้งานจึงช่วยประหยัดไฟได้มาก

  2. เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5:
    ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นเครื่องหมายรับรองประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน ควรเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับฉลากนี้ เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม เครื่องซักผ้า เพราะออกแบบมาให้ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

  3. ใช้หลอดไฟ LED แทนหลอดไฟแบบเดิม:
    หลอด LED ประหยัดพลังงานกว่าหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ถึง 75% และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่ามาก แม้ราคาเริ่มต้นจะสูงกว่าแต่คุ้มค่าในระยะยาวแน่นอน

  4. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ:

    • ตั้งอุณหภูมิที่ 25-26 องศาเซลเซียส: เป็นอุณหภูมิที่เย็นสบายและประหยัดพลังงานที่สุด การลดอุณหภูมิลงทุก 1 องศา จะเพิ่มการใช้ไฟประมาณ 10%
    • เปิดพัดลมควบคู่กับแอร์: พัดลมจะช่วยกระจายลมเย็น ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นโดยไม่ต้องลดอุณหภูมิแอร์ลง
    • ล้างแอร์เป็นประจำ: ควรล้างแผ่นกรองอากาศทุก 1-2 เดือน และล้างใหญ่ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
    • ตั้งเวลาปิดแอร์: ตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนตื่นนอน 1-2 ชั่วโมง หรือเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้
  5. ใช้แสงธรรมชาติและลมธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด:

    • เปิดหน้าต่างรับลมและแสง: ในช่วงเช้าตรู่และช่วงเย็นที่อากาศภายนอกเย็นกว่าภายในบ้าน ควรเปิดหน้าต่าง ประตู เพื่อให้อากาศถ่ายเทและรับแสงธรรมชาติ ลดการใช้ไฟส่องสว่างและพัดลม
    • ติดผ้าม่านกันแดด/ฟิล์มกรองแสง: ติดผ้าม่านทึบแสง มู่ลี่ หรือฟิล์มกรองแสงบริเวณหน้าต่างที่โดนแดดจัด เพื่อลดความร้อนที่เข้ามาในบ้าน ทำให้แอร์ทำงานน้อยลง
    • ปลูกต้นไม้รอบบ้าน: การปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณรอบบ้าน โดยเฉพาะทิศใต้และทิศตะวันตก ช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างมาก
  6. จัดการตู้เย็นอย่างถูกวิธี:

    • ไม่เปิดตู้เย็นบ่อยและนานเกินไป: การเปิดตู้เย็นแต่ละครั้งจะทำให้ความเย็นสูญเสียไป และตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้น
    • ไม่ใส่อาหารร้อนในตู้เย็น: รอให้อาหารเย็นก่อนนำเข้าตู้เย็น
    • จัดระเบียบตู้เย็น: ไม่ใส่ของแน่นเกินไป เพื่อให้มีพื้นที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
    • ทำความสะอาดขอบยางประตู: ตรวจสอบและทำความสะอาดขอบยางประตูตู้เย็นให้ปิดสนิท เพื่อป้องกันความเย็นรั่วไหล
    • ตั้งตู้เย็นให้ห่างผนัง: เว้นระยะห่างจากผนังอย่างน้อย 10-15 ซม. เพื่อให้แผงระบายความร้อนด้านหลังทำงานได้ดี
  7. ซักผ้าและรีดผ้าครั้งละมากๆ:

    • ซักผ้าเต็มถัง: ควรซักผ้าครั้งละเต็มถังตามความจุของเครื่องซักผ้า จะช่วยประหยัดน้ำและไฟ
    • รีดผ้าครั้งละมากๆ: การรีดผ้าแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานสูงในการทำให้เตารีดร้อน การรีดหลายๆ ชิ้นพร้อมกันจะประหยัดกว่ารีดทีละน้อยๆ หลายครั้ง
  8. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเยอะให้น้อยลงหรือใช้ถูกวิธี:

    • เครื่องทำน้ำอุ่น: ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป และปิดเมื่อไม่ใช้งาน
    • เตารีดไฟฟ้า: ถอดปลั๊กก่อนรีดเสร็จเล็กน้อย เพราะความร้อนสะสมยังสามารถรีดต่อได้
    • ไมโครเวฟ: ใช้แทนเตาแก๊สหรือเตาอบไฟฟ้าในกรณีที่ทำอาหารปริมาณไม่มาก จะช่วยประหยัดเวลาและพลังงานได้
  9. ไม่วางเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในห้องแอร์:

    เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เพราะความร้อนที่ออกมาจะทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิห้อง

  10. ตรวจสอบมิเตอร์ไฟและสายไฟในบ้าน:

    • หมั่นตรวจสอบมิเตอร์ไฟหากมีข้อสงสัยว่าค่าไฟผิดปกติหรือไม่
    • ปรึกษาช่างไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบสายไฟและระบบไฟฟ้าภายในบ้าน หากมีสายไฟเก่าหรือชำรุด อาจมีการรั่วไหลของกระแสไฟที่ทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอและทำหลายวิธีร่วมกัน จะเห็นผลลัพธ์ในการลดค่าไฟในบ้านได้อย่างแน่นอนครับ

หลังคายางมะตอย

clinic phuket

รับทำเว็บไซต์ราคาถูก